เมื่อโควิดสร้างผลกระทบอย่างหนักให้กับธุรกิจและการจ้างงาน ส่งผลให้ “ลูกจ้าง” หลายคน “ตกงาน” แบบไม่ทันตั้งตัว ส่วนบางคนแม้ได้ไปต่อ แต่ก็ต้องถูก “ลดเงินเดือน” ขณะที่รายจ่ายยังคงเดิม เมื่อเงินในกระเป๋าสตางค์ลดลง อาชีพ “ขายของออนไลน์” จึงกลายมาเป็นช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจ “ในการหารายได้ต่อลมหายใจ”
แต่การจะเริ่มต้นเป็น “พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์” มือใหม่ ให้ขายดี มีรายได้เพียงพอนั้น อาจจะไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับคนที่ตั้งใจจริง
หากคุณตอบตัวเองได้ชัดเจนแล้วว่า อยากเริ่มต้นขายของออนไลน์จริงๆ ก็อย่ารอช้า PT Salepage จะพาคุณไปศึกษาเรียนรู้ถึง “วิธีการเริ่มต้นขายของออนไลน์” เบื้องต้นต้องรู้อะไรบ้าง?
ข้อดี–ข้อเสีย ก่อนเริ่มธุรกิจ “ขายของออนไลน์”
การ “ขายของออนไลน์” หรือ “อีคอมเมิร์ซ” (e-Commerce) เป็นการดำเนินการซื้อขายสินค้าและบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ลดต้นทุนและกระบวนการดำเนินงานให้น้อยลง และยังเพิ่มประสิทธิภาพการขายสินค้าได้อย่างทั่วถึง สามารถซื้อขายได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก จนวันนี้ ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย มีมูลค่าเติบโตสูงถึงกว่า 2 แสนล้านบาท
ถึงแม้ว่าวันนี้ใครๆ ก็สามารถเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย เพราะมีแพลทฟอร์มมากมายให้เลือกใช้งาน สามารถเชื่อมต่อหาลูกค้าที่ไหนก็ได้บนโลกนี้ แต่ความจริงแล้ว อีคอมเมิร์ซถือเป็น Red Ocean หรือ “น่านน้ำสีแดง” ที่แข่งขันสุดดุเดือด แม้ว่าจะเริ่มต้นได้ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เข้ามาแล้วจะประสบความสำเร็จ
ดังนั้น ก่อนที่ “พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์” หน้าใหม่จะกระโดดสุดตัวลงสู่สนามนี้ ก็ควรที่จะต้องรู้ “ข้อดี-ข้อเสีย ในการทำธุรกิจขายของออนไลน์” เสียก่อน ซึ่งเราได้สรุปมาให้อ่านกัน ดังนี้
ข้อดีของการทำธุรกิจขายของออนไลน์
- ต้นทุนการขายต่ำ ลดต้นทุนการเดินทาง
- ตอบคำถามและพูดคุยกับลูกค้าได้ทุกที่ ทุกเวลา
- ทำงานคนเดียวได้ ไม่ต้องจ้างลูกจ้าง
- มีเครื่องมือรายงานสถิติ เสนอขายตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
- ลูกค้าเข้าถึงได้ตลอดเวลา ไม่เสียเวลาเดินทาง
- เปิดร้านค้าขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- ไม่ต้องมีออฟฟิศ ไม่ต้องมีสต็อกสินค้า ก็สร้างร้านค้าได้
- ช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้กับธุรกิจออฟไลน์
ข้อเสียของการทำธุรกิจขายของออนไลน์
- การแข่งขันสูง โดนตัดราคาง่าย
- ผู้ซื้อ- ผู้ขาย ต้องมีความรู้เรื่องอินเทอร์เน็ต
- มีผู้ขายสินค้าที่เหมือนหรือคล้ายกันหลายร้าน อาจทำให้ลูกค้าค้นหาแล้วเจอเรายาก
- มีค่าใช้จ่ายในการดูแลและออกแบบหน้าเว็บหรือเซลเพจให้สวยงาม
- เสี่ยงต่อการถูกแฮกหรือแจ้งสแปม ทำให้ร้านมีโอกาสโดนปิดได้
- ลูกค้าจับต้องสินค้าก่อนซื้อไม่ได้ ดูได้แต่เพียงข้อมูลและรูปของสินค้าเท่านั้น
- ใช้เวลาในการจัดส่งสินค้า ลูกค้าต้องรอรับ และอาจต้องเสียค่าจัดส่งเพิ่ม
สินค้าอะไรบ้างที่ขายออนไลน์ได้?
สินค้าทุกชนิด ทุกประเภท ที่ “ถูกกฎหมาย” สามารถขายออนไลน์ได้หมด ไม่มีข้อจำกัด ขึ้นอยู่กับความพอใจและความเชื่อใจกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย แต่พอจะแบ่งให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น ดังนี้
- สินค้าที่จับต้องได้ เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ เสื้อผ้าเด็ก ของเล่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม อาหารแห้ง อุปกรณ์ไอที เครื่องดนตรี สินค้าแฮนเมด อุปกรณ์แต่งบ้าน-แต่งรถ ฯลฯ
- สินค้าที่จับต้องไม่ได้ เช่น แอพพลิเคชัน ซอฟต์แวร์ เพลง ไอเทมในเกม ฯลฯ
- สินค้าด้านบริการ เช่น บัตรกำนัลดิจิทัล ตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก บริการสปา เสริมสวย ฯลฯ
7 ข้อ ที่ควรรู้ ก่อนเข้าสู่อาชีพ “ขายของออนไลน์”
สิ่งที่ต้องเรียนรู้ในลำดับถัดมาก็คือ การเตรียมตัวเป็น “พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์” และการเตรียมตัวก่อนที่จะเปิด “ร้านค้าออนไลน์” ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง? เมื่อเปิดขายจริงจะได้ค้าขายไม่ติดขัด ช่วยให้ทำยอดขายได้ดี และลดความเสี่ยงที่จะขาดทุน
1. กำหนดงบลงทุน และเลือกสินค้าที่จะขาย
“งบลงทุน” เป็นสิ่งแรกที่ต้องวางแผนงบการขายสินค้า เพราะจะเป็นตัวกำหนดให้เราใช้เงินลงทุนในงบที่กำหนด ป้องกันการใช้งบบานปลาย
สิ่งที่ควบคู่มากับงบลงทุนก็คือ “การหาสินค้ามาขาย” เบื้องต้นควรเริ่มต้นจากความชอบของผู้ค้าก่อน และควรเช็กความต้องการของลูกค้าในตลาดด้วย ว่าช่วงนั้นคนส่วนใหญ่สนใจสินค้าอะไร หรือในช่วงนั้นมีสินค้าอะไรกระแสมาแรง น่าที่จะนำมาขาย รวมถึงมองหา “แหล่งสินค้า” ที่จะเราจะไปซื้อมาขายด้วย ซึ่งแหล่งที่ขายสินค้าส่งนั้นก็มีอยู่มากมาย ราคาและคุณภาพก็แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นเราควรลงพื้นที่จริง เพื่อสำรวจประเภทของสินค้า ราคา และคุณภาพ เพื่อให้ได้สินค้าที่ดี มีราคาและคุณภาพตรงกับความต้องการลูกค้ามากที่สุด
“แหล่งสินค้า” ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ส่วนใหญ่นิยมไปเสาะหาสินค้ามาขาย ได้แก่
ตลาดโรงเกลือ : เหมาะกับพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการขาย “สินค้ามือสอง” หรือ “ของสะสม” ที่นี่เป็นแหล่งค้าส่งสินค้ามือสองขนาดใหญ่ ที่ขายในราคาถูก แม่ค้ามือใหม่สามารถไปหาซื้อและคัดสรรสินค้ามือสองคุณภาพดี แล้วนำมาขายต่อทำกำไรได้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ผ้าห่ม ของแต่งบ้าน ฯลฯ
ตลาดโบ๊เบ๊/สำเพ็ง/ประตูน้ำ : เป็นแหล่งค้าส่งในไทย ที่พ่อค้าแม่ค้าสามารถหาซื้อสินค้าได้ในราคาถูก เหมาะกับผู้ที่ต้องการขายสินค้ามือหนึ่งจำพวกเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า ของกิ๊บช็อป อุปกรณ์ทำเครื่องประดับ สินค้าตามเทศกาล (สงกรานต์, ฮาโลวีน, คริสต์มาส), เครื่องสำอาง, เครื่องเขียน ฯลฯ
OTOPToday : อีกหนึ่งแหล่งสินค้าที่ซื้อไปขายต่อทำกำไรได้ดี คือ สินค้าโอท็อป เหมาะกับแม่ค้ามือใหม่ที่อยากขายของแฮนด์เมด, สินค้าสุขภาพ, สมุนไพรอาหารเสริม สามารถลองเข้าไปเลือกดูสินค้าก่อนได้ … คลิกที่นี่
VoucherToday : เป็นแหล่งขายสินค้ากลุ่มบัตรกำนัล (Voucher) ที่สามารถซื้อมาขายต่อทำกำไรได้เช่นกัน มีทั้งบัตรกำนัลสำหรับซื้อเฟอร์นิเจอร์ ของขวัญ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเป็นบัตรที่ใช้ชอปปิ้งตามห้างชื่อดังก็มี หากสนใจเข้าไปดูได้ … คลิกที่นี่
Dropship (ดรอปชิป) : คือ การขายสินค้าแบบที่เราไม่ต้องมีสินค้าที่จะขายเป็นของตัวเอง หรือที่เราเข้าใจกันในรูปแบบของ “ตัวแทนจำหน่าย” การขายของแบบดรอปชิปจะเป็นการนำสินค้าของคนอื่นมาขาย โดยที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ไม่ต้องสต๊อกสินค้า หรือส่งของเอง เพียงแค่นำข้อมูลของสินค้ามาโพสต์ขายลงแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook, LINE OA, IG, Twitter, เซลเพจ หรือร้านค้าออนไลน์ แล้วบวกกำไรเพิ่ม หากเราขายสินค้าได้ เราค่อยไปสั่งสินค้าจากเจ้าของสินค้าหรือโรงงานที่ผลิต แล้วให้เขาส่งสินค้าให้ลูกค้าของเราอีกที ดูตัวอย่างได้ที่ www.shopathome.in.th
หากว่าคุณสนใจจะขายของออนไลน์ แต่ว่ายังไม่รู้ว่าจะขายอะไรดี ลองเข้าไปดูข้อมูลสินค้าที่น่าสนใจได้จากบทความ “สินค้าน่าสนใจ” คลิกที่นี่ ได้เลยครับ
อ่านเพิ่ม >> Dropship ช่องทางทำเงินสำหรับคนไม่มีทุน แต่อยากขายของออนไลน์
2. ช่องทางการขายสินค้า เลือกให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
ช่องทางการขายสินค้าออนไลน์มีอยู่มากมาย เช่น ขายบนเซลเพจหรือเว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นเอง แม้ว่าการทำเซลเพจหรือเว็บไซต์ของตัวเองนั้นจะต้องลงทุนสักหน่อย แต่ก็มีข้อดีอยู่มาก คือ สามารถบริหารจัดการหน้าร้าน การแสดงผล รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ได้สะดวกตามที่ต้องการ
นอกจากนี้ เรายังสามารถขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม e-Marketplace ยอดนิยมต่างๆ ได้อีก เช่น Shopee, Lazada หรือ Amazon เป็นต้น ซึ่งสะดวกและง่ายมาก หรือเราจะขายผ่าน Social Commerce ต่างๆ เช่น Facebook, IG, Line ก็ได้เช่นกัน ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มต่างก็เพิ่มฟีเจอร์สำหรับการขายสินค้าไว้อย่างมากมาย และกำลังได้ความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
รวมไปถึงการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ประเภท E-Classified เช่น kaidee.com ซึ่งก็ทำได้ง่ายมากๆ เพียงแค่สมัครสมาชิกเท่านั้น ก็สามารถลงประกาศซื้อ-ขายสินค้าได้ฟรีๆ แล้ว ง่ายและสะดวกมากจริงๆ ครับ
ซึ่งการที่เราจะเลือกขายผ่านช่องทางไหนนั้น ก็ควรต้องศึกษาให้เข้าใจ เพื่อที่เราจะได้เลือกช่องทางการขายได้ตรงกับการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายของสินค้าเรามากที่สุด เพราะถึงแม้ว่าเราจะสามารถเลือกช่องทางการขายได้มากกว่าหนึ่งช่องทาง แต่เราก็ต้องประเมินกำลังของตัวเองด้วยว่า จะสามารถรองรับลูกค้าจากหลายช่องทางพร้อมกันได้หรือไม่ มิฉะนั้น อาจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีก็ได้ เพราะการที่เรามีหน้าร้านหรือช่องทางการมากขึ้น ก็เท่ากับว่าเราจะมีลูกค้าและจำนวนออเดอร์ที่มากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
3. ทำการตลาดบนโซเชียลมีเดีย
พ่อค้าแม่ค้ามือออนไลน์ ควรต้องให้ความสำคัญกับ “การตลาดออนไลน์” โดยเฉพาะการโปรโมทร้านค้าผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, TikTok, Twitter, Instagram, Line หรือ YouTube เพราะเข้าถึงผู้คนและกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็ว นับเป็นช่องทางทำการตลาดที่สำคัญ และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการขายได้อย่างมากอีกด้วย
ปัจจุบันนี้ “TikTok” เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่กำลังมาแรง และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่แค่เพียงสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลาย แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง
โดยมีข้อมูลจาก App Annie ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์แอปพลิเคชันทั้งจากระบบ iOS และ Google Play และวิเคราะห์เชิงข้อมูลการตลาด ระบุถึงการใช้งาน TikTok ในประเทศไทยว่า มีการเติบโตทั้งด้านจำนวนผู้ใช้งานและการใช้เวลาบนแพลตฟอร์ม
โดยเปรียบเทียบข้อมูลในเดือนมกราคม ของปี 2564 กับปี 2563 พบว่า ประเทศไทยมีการดาวน์โหลดแอปฯ TikTok เพิ่มสูงขึ้น 44% การใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนเพิ่มขึ้น 71% ขณะที่การใช้งานแต่ละครั้งเพิ่มสูงขึ้น 47%
สำหรับพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ที่ต้องการทำการตลาดบนแพลตฟอร์มนี้ สามารถเริ่มต้นศึกษาการโปรโมทธุรกิจผ่าน TikTok For Business ได้ … คลิกที่นี่
4. บริหารจัดการ “เวลา” ตอบลูกค้ายิ่งเร็วยิ่งดี
ก่อนจะเริ่มทำการขายออนไลน์จริง ควรเตรียมการและซักซ้อมเรื่องการบริหาร “เวลา” ให้ดี เนื่องจากการขายออนไลน์จะมีการซื้อ-ขายกันตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ขายต้องตั้งรับจุดนี้ให้ได้ เพื่อไม่ให้การค้ามาทำลายสมดุลชีวิตจนร่างกายพัง
ผู้ขายออนไลน์สามารถใช้เทคโนโลยี “แชทบอท” (Chatbot) ซึ่งเป็นโปรแกรมสื่อสารข้อความอัตโนมัติ ตั้งข้อความอัตโนมัติเพื่อแจ้งข้อมูลเบื้องต้นของสินค้าหรือธุรกิจ เช่น ราคาและรายละเอียดสินค้า ให้กับลูกค้าหรือผู้ที่สนใจได้ ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่ลูกค้าได้โดยที่ไม่ต้องมาคอยเฝ้าแชทแล้ว ยังช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการตอบสนอง ไม่ถูกทิ้งขว้างจนต้องหันไปหาร้านอื่นแทน
ในกรณีที่เรายังไม่สะดวกตอบแชทกับลูกค้า เราสามารถทำข้อความตอบกลับอัตโนมัติเพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบได้ เช่น ข้อความแจ้งว่า “สามารถรับออเดอร์ลูกค้าได้ช่วงเวลากี่โมงถึงกี่โมง” หรือ “จะรีบตอบกลับเร็วที่สุดที่จะทำได้” เป็นต้น
5. ช่องทางการชำระเงิน ต้องให้ลูกค้าสะดวกที่สุด
ผู้ค้าควรจัดเตรียมช่องทางการชำระเงินให้มีความหลากหลาย เพื่อความสะดวกแก่ลูกค้าเวลาชำระเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเงินปลายทาง, การโอนจ่ายเงินผ่าน e-Banking, การจ่ายผ่านบัตรเครดิต/เดบิต, จ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส, จ่ายผ่านบัญชีออนไลน์อื่นๆ (PayPal, Rabbit LINE pay, mPay) รวมถึงควรระบุค่าธรรมเนียมในการจัดส่งให้ชัดเจนด้วย
อีกทั้งต้องมีบริการหลังการขายที่ดี ต้องใส่ใจลูกค้า และต้องเต็มใจรับผิดชอบหากเกิดกรณีผิดพลาด เช่น หากส่งสินค้าผิดหรือสินค้าเสียหาย (จากต้นทางที่ร้าน) อาจรับผิดชอบโดยการโอนเงินคืนให้ลูกค้า หรือเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่ฟรี เป็นต้น อย่าทำให้กลายเป็น “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” เพื่อเป็นการมัดใจลูกค้าให้กลับมาอุดหนุนเราอีกในอนาคต
6. เข้าใจการยื่นภาษีของ “ร้านค้าออนไลน์”
รู้หรือไม่? อาชีพ “ขายของออนไลน์” พ่อค้าแม่ค้าก็ต้อง “ยื่นภาษี” เช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ค้าออนไลน์ที่มีรายได้ทางเดียวจากการขายของออนไลน์ หรือจะเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ขายของออนไลน์ควบคู่ไปด้วย ต่างก็ต้องยื่นภาษี 2 แบบ คือ ภ.ง.ด. 94 และ ภ.ง.ด. 90 โดยจะต้องยื่นภาษีตามที่กรมสรรพากรกำหนด ดังนี้
- รอบแรก : ยื่นภาษีครึ่งปี ช่วง ก.ค. – ก.ย. ของทุกปี นำเงินได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 30 มิ.ย. มาแสดงในการยื่นภาษี ตามแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 94 ภายในวันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.
- รอบที่ 2 : ยื่นภาษีปลายปี ช่วง ม.ค. – มี.ค. ของทุกปี โดยนำเงินได้ทั้งปี มากรอกในแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 ภายในวันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. ของปีถัดไป (เช่น เงินได้ปี 2563 ต้องยื่นใน มี.ค. 2564)
อ่านเพิ่ม >> ‘ขายของออนไลน์’ ต้อง ‘ยื่นภาษี’ แบบไหน? เช็กวิธียื่นภาษีง่ายๆ จบไว ไม่ยุ่งยาก
7. จัดส่งสินค้าต้องเร็ว ราคาไม่แพง
การจัดส่งสินค้าก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องศึกษาให้ดี ต้องเลือกระบบขนส่งสินค้าที่ส่งของได้รวดเร็ว สะดวก ปลอดภัย ตรวจสอบสถานะสินค้าได้ และมีบริการเสริมที่ดี เช่น การเก็บเงินปลายทางแบบ COD หรือ การนัดหมาย Pick up Service ถึงที่ ฟรี! ที่สำคัญคือ “ค่าส่งต้องไม่แพงเกินไป” เพื่อให้ “พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์” ได้กำไรมากขึ้น
อ้างอิง : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์, postfamily